Blog from evetanatcha
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ใบงานที่2 บทความ เรื่อง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
Martin Luther King, Jr.
บุรุษผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
บุคคลที่ทั่วโลกยกย่องให้เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
บุคคลที่คำพูดของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก
บุคคลที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขา สันติภาพ ที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น
คิง เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ.1929 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
คิงเป็นบุตรชายของพระแบปติส ผู้ซึ่งเป็นศาสนาจารย์ในนิกายแบปติส ส่วนมารดาชื่อ อัลเบิร์ตา วิลเลี่ยม เป็นครูสอนหนังสือ คิงมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน คิงเป็นคนกลาง
ทั้งพ่อและตาของคิงต่างเป็นผู้นำรุ่นแรกๆ ที่มีบทบาทในการต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันที่มีต่อคนผิวดำ และช่วงที่คิงเกิด เป็นช่วงที่ปัญหาสิทธิพลเมืองและการแบ่งแยกผิวระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาวกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ อีกทั้งบ้านเกิดของเขายังเป็นเขตที่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างคนผิวดำและผิวขาวอย่างสูง มีการเฆี่ยนตีทาสผิวดำ ไล่ต้อนให้ออกไปทำงานในไร่ฯลฯ เขาจึงเติบโตมาในบรรยากาศอันเข้มข้นของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิแห่งความเสมอภาคของคนผิวสี
คิงถูกฝึกให้เป็นคนที่มีความอดกลั้นและมีระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก เขาถูกห้ามไม่ให้ไปยังแหล่งของคนผิวขาว และถูกห้ามไม่ให้คบค้าสมาคมกับคนผิวขาว สิ่งแวดล้อมเหล่านี้เป็นตัวผลักดันให้เขาหันมาชื่นชม มหาตมะ คานธี ที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันโดยใช้หลักอหิงสา และไม่ยอมรับแนวคิดการแบ่งแยกที่ไร้ความยุติธรรมนี้ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่อารมณ์เย็นขึ้น
คิงจบมัธยมปลายเมื่ออายุ 15 ปี หลังจากนั้น คิงสนใจที่จะเป็นทนายความจึงเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัย มอร์เฮาส์ คอเลจ (Morehouse College) แต่พอเรียนถึงปีที่3 เขาตัดสินใจที่จะเป็นนักเทศน์ จึงเข้าเรียนต่อด้านศาสนาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโครเซอร์ เซมิเนรี่ (Crozer Seminary)
คิงได้เป็นผู้นำในการคว่ำบาตรไม่ยอมรับการแบ่งแยกคนผิวดำที่ไม่ให้โดยสารรถประจำทางร่วมกับคนผิวขาว
ที่เมืองมอนต์โกเมอรีรัฐแอละแบมา และจัดประชุมผู้นำศาสนาคริสเตียนตอนใต้
ในระหว่างนี้เขาถูกจับขังคุกหลายครั้ง
จนในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1963 คิงเป็นผู้นำในการชุมนุมอย่างสันติที่อนุสาวรีย์ลินคอล์นในรัฐวอชิงตัน
ดี.ซี. มีผู้เข้าร่วมถึง 200,000 คน
ในการชุมนุมครั้งนี้ คิงได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อว่า "I have a dream" (ข้าพเจ้ามีความฝัน) เป็นสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงที่ถูกจัดอันดับในลำดับหนึ่งของสุนทรพจน์ทั้งหมดที่เคยมีการแสดงมาในอเมริกา
คิงกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้โดยไม่มีสไลด์ประกอบ หลายคนไม่เห็นหน้าตาของเขา ได้ยินเพียงแค่เสียงการปราศรัยที่ผ่านเครื่องขยายเสียง แต่สุนทรพจน์อันทรงพลังในครั้งนี้ กอปรด้วยถ้อยคำที่ราวกับบทกวี และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาที่เขานับถือ
เนื้อความของสุนทรพจน์นี้มีว่า
“ ข้าพเจ้ายินดีที่ได้มาร่วมชุมนุมกับพวกท่านในวันนี้ ซึ่งจักกลายหน้าประวัติศาสตร์การชุมนุมเรียกร้องเสรีภาพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติเรา
เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
ชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง
ผู้ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แผ่ร่มเงาแก่ผองเราซึ่งยืนอยู่ในที่แห่งนี้
ได้ลงนามในคำประกาศเลิกทาส
กฎหมายฉบับนี้ประดุจดังดวงประทีปแห่งความหวังของทาสนิโกรนับล้าน
ผู้ซึ่งถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอยุติธรรมที่เหยียดหมิ่น มันมาถึงประหนึ่งยามอรุณรุ่งอันน่าปรีดา
ที่จะยุติค่ำคืนอันยาวนานแห่งการจองจำ
หากร้อยปีถัดมา, เราพานพบความจริงอันโหดร้ายว่าชาวนิโกรยังไม่เป็นไท
ร้อยปีให้หลัง, ชีวิตของนิโกรยังคงถูกพันธนาการด้วยการเหยียดผิว
และถูกจองจำด้วยตรวนแห่งการเหยียดจำแนก
ร้อยปีถัดมา, ชนนิโกรยังดำรงชีพบนเกาะแห่งความยากจนอันโดดเดี่ยว
ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไพศาลไปด้วยความมั่งคั่งทางวัตถุ
ร้อยปีให้หลัง, นิโกรยังอ่อนระโหยอยู่ตามมุมต่างๆ ของสังคมอเมริกา
และพบว่าตนถูกเนรเทศพ้นไปจากแผ่นดินของเขาเอง ดังนั้นเราทั้งหลายมาชุมนุมในวันนี้
เพื่อแสดงให้เห็นสภาพอันน่าอดสูนี้
ในฐานะที่เราเข้ามาในเมืองหลวงของชาติเราเพื่อเอาเช็คมาขึ้นเงินสด
เมื่อครั้งที่เหล่าสถาปนิกแห่งสาธารณรัฐของเราจารึกถ้อยคำน่าประทับใจในรัฐธรรมนูญและประกาศอิสรภาพ
นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ลงนามในพันธสัญญาที่คนอเมริกันทุกผู้ต้องสืบทอดปณิธาน
นี่เป็นบันทึกอันเป็นพันธะว่าเราทุกคนจะได้รับการประกันสิทธิ์
อันหาเพิกถอนได้แห่งชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาซึ่งความสุข
หากวันนี้ประจักษ์ชัดว่า
อเมริกาได้บิดพลิ้วต่อพันธสัญญานี้ ตราบเท่าที่ยังคำนึงถึงสีผิวของพลเมืองในประเทศ
แทนที่่จะเคารพข้อผูกพันอันศักดิ์สิทธิ์ อเมริกากลับให้เช็คเสียกับประชาชนนิโกร
เช็คนี้ถูกส่งคืนพร้อมกับตราประทับว่า “เงินไม่เพียงพอ” แต่เราปฏิเสธจะเชื่อว่าธนาคารแห่งความยุติธรรมได้ล้มละลายไปเสียแล้ว
เราปฏิเสธจะเชื่อว่าไม่มีเงินเพียงพอภายใต้หลังคาที่ยิ่งใหญ่แห่งโอกาสของชาติเรา
ดังนั้นเราจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอขึ้นเงิน — กับเช็คที่ตอบรับความต้องการในความมั่งคั่งแห่งเสรีภาพ
และความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม
เรามายังสถานศักดิ์สิทธิ์นี้
เพื่อเตือนอเมริกาให้ระลึกถึงความเร่งด่วนอันร้อนแรงในทันทีนี้
หามีเวลาจะยึดติดความฟุ่มเฟือย หรือให้ยาระงับประสาทเพื่อให้เรื่องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องทำให้คำมั่นแห่งประชาธิปไตยเป็นจริงขึ้นมา
บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องลุกขึ้นจากความมืดมน
และหุบผาที่ถูกทิ้งร้างแห่งการแบ่งแยกสีผิว
ไปบนหนทางอันเจิดจรัสแห่งความยุติธรรมทางเชื้อชาติ
บัดนี้เป็นเวลาที่จะเปิดประตูแห่งโอกาสให้แก่บุตรของพระผู้เป็นเจ้าทุกผู้ทุกนาม
บัดนี้เป็นเวลาที่จะยกระดับชาติของเราจากหล่มปลักแห่งความยุติธรรมทางเชื้อชาติ
ไปยังภูผาอันแกร่งกล้าแห่งภราดรภาพ
มันจะกลายเป็นหายนะแก่ประเทศชาติหากมองข้ามห้วงยามแห่งความเร่งด่วน
และประเมินความต้องการของชาวนิโกรต่ำไป คิมหันต์อันอบอ้าวจากความไม่พอใจอันชอบธรรมของชาวนิโกรจะไม่ผ่านพ้นไป
ตราบจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงอันมีชีวิตชีวาแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกันจะมาถึง ปี
1963 หาใช่จุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่ม
ผู้ที่หวังว่านิโกรต้องการเพียงที่จะระเบิดอารมณ์แล้วก็จะพอใจ คนกลุ่มนั้นจะอยู่ในสภาพตะลึงงันหากประเทศชาติยังคงดำเนินไปตามที่มันเป็น
จะไม่มีการหยุดพักหรือความสงบในประเทศอเมริกาจนกว่าชนนิโกรจะได้รับสิทธิ์ในความเป็นพลเมืองอย่างแท้จริง
ความปั่นป่วนจากการจลาจลจะดำเนินต่อไปเพื่อสั่นคลอนรากฐานของชาติเรา
จนกว่าวันที่สดใสแห่งความยุติธรรมจักปรากฏ
แต่มีบางสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากกล่าวกับประชาชนของข้าพเจ้าผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงธรณีประตูอันอบอุ่น
ซึ่งจะนำเราไปยังพระราชวังแห่งความยุติธรรม ในขั้นตอนการได้มาซึ่งสถานะอันมีสิทธิ์
เราต้องปราศจากมลทินแห่งการกระทำอันผิดพลาด เราต้องไม่แสวงหาความพอใจในการดับความกระหายเสรีภาพของเรา
ด้วยการดื่มกินจากถ้วยแห่งความขมขื่นและความเกลียดชัง
เราต้องดำเนินการต่อสู้ตลอดไปบนพื้นฐานอันสูงส่งของเกียรติยศและวินัย
เราต้องไม่อนุญาตให้การประท้วงที่สร้างสรรค์ของเรากลายเป็นการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ
ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม
เราต้องยืนหยัดอย่างสง่างาม
ในหลักการหลอมรวมระหว่างพลังทางกายและพลังทางจิตวิญญาณอันสูงส่ง
ความเข้มแข็งอันน่าอัศจรรย์ครั้งใหม่
ซึ่งมันปกคลุมทั้งผองชนนิโกร จะต้องไม่นำเราไปสู่ความไม่ไว้วางใจของคนขาวทั้งปวง
เพราะพี่น้องคนขาวหลายคน ดังประจักษ์พยานของการปรากฎตัวของพวกเขาในวันนี้
ได้ยืนยันว่าโชคชะตาของพวกเขาได้ผูกพันกับโชคชะตาของเรา และเสรีภาพของพวกเขา
เป็นพันธะที่ตรึงแน่นกับเสรีภาพของเรา
เราไม่อาจเดินได้เพียงลำพัง
ขณะที่เราเดิน เราต้องให้คำมั่นว่าเราก้าวไปข้างหน้า เราไม่อาจหันหลังกลับได้
มีคนถามผู้นับถือสิทธิพลเมืองว่า “เมื่อไหร่พวกคุณจึงจะพอใจ?”
เราไม่อาจพอใจได้
ตราบใดที่ชาวนิโกรยังเป็นเหยื่อจากความหวาดกลัวอันไม่อาจเอ่ยถึงของตำรวจที่โหดร้าย
เราไม่อาจพอใจได้
ตราบใดที่ร่างกายเราอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
แล้วยังไม่อาจเข้าพักในโรงแรมบนทางหลวง หรือโรงแรมในตัวเมืองได้
เราไม่อาจพอใจได้
ตราบใดที่ยังมีการเคลื่อนย้ายฐานของพวกนิโกรออกจากพื้นที่ชุมชนแออัดไปจนถึงชุมชนขนาดใหญ่
เราไม่อาจพอใจได้
ตราบใดที่ลูกหลานเรายังถูกปลดเปลือยตัวตน
และถูกช่วงชิงศักดิ์ศรีไปด้วยการแขวนป้ายที่ระบุว่า “สำหรับคนขาวเท่านั้น”
เราไม่อาจพอใจได้
ตราบใดที่คนนิโกรในมิซซิสซิปปี้ ปราศจากสิทธิ์ออกเสียง
และคนนิโกรในนิวยอร์คเชื่อว่าไม่มีใครที่ควรจะลงคะแนนให้
ไม่หรอก
ไม่มีทางที่เราจะพอใจ และเราไม่อาจพอใจตราบจนความยุติธรรมหลั่งรินลงมาดุจหยาดน้ำ
และความเที่ยงธรรมหลั่งไหลดุจสายน้ำอันเชี่ยวกราก
ข้าพเจ้าไม่อาจเมินเฉยต่อความจริงที่ว่า
พวกท่านบางคนมาถึงนี่ด้วยความทรมาน
และความยากแค้น
พวกท่านบางคนเพิ่งมาจากห้องขังอันคับแคบ
พวกท่านบางคนมาจากห้องที่ซึ่ง
การแสวงหาซึ่งเสรีภาพได้ทิ้งท่านไว้กับการทุบตีด้วยพายุแห่งการข่มเหง
และการต้องโซซัดโซเซจากสายลมแห่งความป่าเถื่อนของตำรวจ
ท่านกลายเป็นผู้ทุกข์ทรมานมามาก
จงดำเนินการต่อไปด้วยความศรัทธาว่าความทุกข์ยากที่มิได้ก่อนี้จะถูกปลดเปลื้อง
จงกลับไปยังมิสซิสซิปปี้
จงกลับไปยังอลาบาม่า
จงกลับไปยังเซาธ์แคลิฟอร์เนีย
จงกลับไปยังจอร์เจีย
จงกลับไปยังหลุยเซียน่า
จงกลับไปยังสลัมและชุมชนแออัดในเมืองทางเหนือของเรา
และจงรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้สามารถและจักเปลี่ยนแปลงไปด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง
จงอย่าจมปลักอยู่ในหุบผาแห่งความหดหู่
ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกท่านในวันนี้ เพื่อนเอ๋ย – หากแม้ความลำบากที่เราเผชิญในวันนี้และวันพรุ่ง
ข้าพเจ้าจะยังมีความฝัน ความฝันซึ่งฝังรากลึกอยู่ในความฝันแห่งอเมริกันชน
ข้าพเจ้ามีความฝันว่า
วันหนึ่งประเทศนี้จะหยัดยืนขึ้นและจรรโลงความหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติทางศาสนาที่ว่า
“เรายึดถือความจริงเหล่านี้เป็นการยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน”
ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งบนเนินเขาสีแดงในจอร์เจีย
บุตรของทาสกับบุตรของอดีตเจ้าทาสจะนั่งร่วมโต๊ะแห่งภราดรภาพได้
ข้าพเจ้ามีความฝันว่า
วันหนึ่งแม้แต่รัฐมิสซิสซิปปี้ซึ่งอวลไปด้วยไอแห่งอยุติธรรม
ระอุไปด้วยความร้อนแรงแห่งการกดขี่ จะแปรเปลี่ยนเป็นที่ชุ่มชื้นแห่งเสรีภาพและความยุติธรรม
ข้าพเจ้ามีความฝันว่าในวันหนึ่งลูกๆ
ทั้งสี่คนของข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในชาติที่พวกเขาไม่ถูกพิพากษาจากสีผิว
แต่ด้วยสาระแห่งอุปนิสัยของเขา
ข้าพเจ้ามีความฝันในวันนี้
ข้าพเจ้ามีความฝันว่า
วันหนึ่งในอลาบาม่า ที่ซึ่งมีการเหยียดชาติอย่างชั่วร้าย ที่ซึ่งมีผู้ว่าการรัฐกำลังเปล่งวาจาขัดขวางและล้มล้างเราอยู่นั้น สักวันหนึ่งเด็กชายผิวดำและเด็กหญิงผิวดำตัวน้อย
จะสามารถเกี่ยวก้อยกับเด็กชายผิวขาวและเด็กหญิงผิวขาวตัวน้อย ได้ดุจดังพี่น้องกัน
ข้าพเจ้ามีความฝันในวันนี้
ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งทุกหุบผาจะถูกยกให้สูงขึ้น
พร้อมกันนั้นทุกเนินเขาและภูผาจะถูกทำให้ราบลงมาเสมอกัน
พื้นที่อันขรุขระถูกถางเป็นทางราบ ทางคดเคี้ยวถูกทำให้เป็นเส้นตรง เมื่อนั้นเสียงแซ่ซ้องแห่งพระเป็นเจ้าจะถูกเปล่งขึ้น
และผองเราจะเห็นเวลานั้น
นี่เป็นความหวังของเรา
นี่เป็นศรัทธาของเราซึ่งข้าพเจ้าจะนำกลับไปทางใต้
ด้วยศรัทธานี้เราจะสกัดหุบเขาแห่งความหดหู่
ออกเป็นศิลาแห่งความหวัง
ด้วยศรัทธานี้เราจะเปลี่ยนเสียงเสียดหูแห่งความบาดหมางในชาติเรา
ให้เป็นเสียงเพลงอันแสนหวานแห่งภราดรภาพ
ด้วยศรัทธานี้เราจะสามารถทำงานร่วมกัน
สวดมนต์ด้วยกัน ต่อสู้ร่วมกัน ถูกจองจำร่วมกัน หยัดยืนเพื่อเสรีภาพร่วมกัน
เพราะเรารู้ว่าเราจะมีเสรีภาพไม่วันใดก็วันหนึ่ง
วันนี้ก็คือวันที่ว่า, นี่เป็นวันที่บุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะขับขานด้วยความหมายใหม่กับบทเพลงที่ว่า
“ประเทศของข้าฯ
ข้าฯขอขับขานบทเพลงแห่งเสรีภาพอันแสนหวานแด่ท่าน ดินแดนที่บรรพบุรุษของข้าฯฝังร่าง
ดินแดนแห่งความภาคภูมิใจของผู้แสวงบุญ ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานจากทุกขุนเขา”
และหากอเมริกาจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่
สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นจริง
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากยอดเขาอันไพศาลแห่งนิวแฮมเชียร์
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาที่ทรงพลังแห่งนิวยอร์ค
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากที่ราบสูงอัลเลเกนิสแห่งเพนซิลวาเนีย
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากขุนเขาร็อคกี้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะแห่งโคโลราโด
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากเนินเขาอันคดเคี้ยวแห่งแคลิฟอร์เนีย
ไม่ใช่เพียงเท่านี้
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาสโตนแห่งจอร์เจีย
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาลุคเอ๊าท์แห่งเทนเนสซี
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากทุกด้าน
และทุกเนินเขาและทุกเนินดินทุกแห่งในมิสซิสซิปปี้
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวาน
และเมื่อสิ่งนี้บังเกิดขึ้น เมื่อเราบันดาลให้เสรีภาพดังกังวาน – เมื่อเราให้เสรีภาพก้องกังวานจากทุกตำบล
ทุกหมู่บ้าน จากทุกรัฐ ทุกเมือง เราอาจจะเร่งวันเวลาที่บุตรของพระผู้เป็นเจ้า
ทั้งคนดำคนขาว ทั้งพวกยิว คนศาสนาอื่น ทั้งคาธอลิคทั้งโปรเตสแตนท์
จะสามารถจับมือกันและขับขานบทเพลงเป็นถ้อยคำจากบทสวดในทางจิตวิญญาณอันเก่าแก่ของพวกนิโกรได้ว่า
“เสรีภาพในที่สุด เสรีภาพในที่สุด
ขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพ พวกเราจะมีเสรีภาพในที่สุด” ”
แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เขาถูกลอบสังหารในอีกห้าปีให้หลังจากสุนทรพจน์ครั้งประวัติศาสตร์ในตอนนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอเมริกายังมีความคิดการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรงฝังรากลึกในชนชาติอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องนับว่าการเคลื่อนไหวและสุนทรพจน์ "I have a dream" ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้เปลี่ยนอเมริกาจากเมื่อ 45 ปีที่แล้วไปมาก เพราะอีก 45 ปีถัดมา วันที่ 4 พฤศจิกายน 2008 (เวลาเที่ยงคืนในไทย) ชาวอเมริกันจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชาวผิวดำได้รับสิทธิ์ความไว้วางใจให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจาก http://www.siamintelligence.com/
http://www.learners.in.th/blogs/posts/261558 , วิกิพีเดีย
และคลิปจาก youtube /Italandveganworld/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)